พื้นฐานของสังคมมนุษย์นั้น ตั้งอยู่บนความมั่นคงของสถาบันครอบครัว หากครอบครัวเริ่มแตกแยกทุกอย่างย่อมพังทลายลง เป็นเรื่องธรรมดาที่หลายศาสนาและวัฒนธรรมต่างวางระเบียบกันไว้ เพื่อคอยกำหนดว่าอะไรควรและอะไรไม่ควร รวมถึงข้อห้ามในการแต่งงาน เพื่อป้องกันไม่ให้ครอบครัวต้องตกอยู่ในความเสี่ยง ในสมัยก่อนมนุษย์เราถูกแบ่งออกเป็น 4 ชนชั้น (วรรณะ)

ในแต่ละวรรณะจะมีหน้าที่เป็นของตัวเอง ซึ่งสามารถแต่งงานกันได้เฉพาะในชนชั้นวรรณะเดียวกันเท่านั้น ใครที่ฝ่าฝืนแต่งงานข้ามวรรณะจะส่งผลให้ลูกที่เกิดมามีสถานะเป็น ‘จัณฑาล’ เป็นบุคคลที่สังคมเกลียดชัง มองว่าเป็นสิ่งที่น่ารังเกลียด ความเชื่อของคนในสมัยนั้นรุนแรงมาก แม้แต่เงาของพวกเขาแค่ผ่านบ่อน้ำใด ก็จะเลิกใช้บ่อน้ำนั้นไปเลย เพราะมองว่าเป็นสิ่งที่แปดเปื้อนไปแล้ว

นอกจากนี้ชาวยิวเองก็มีกฎห้ามเช่นกัน คือห้ามแต่งงานกับคนต่างชาติ แม้สมัยก่อนพวกเขาจะมองว่าคนต่างชาติเป็นเพียงแค่คนที่ต่างศาสนา แต่เมื่อชาวยิวเริ่มมองว่าตนเองเป็นเผาพันธุ์ที่เหนือกว่าผู้อื่น พวกเขาก็เริ่มออกกฎมากยิ่งขึ้น และมองว่าคนต่างศาสนาคือคนที่ไม่มีเชื้อสายของชาวยิว ทั้งหมดนี้ก็เพื่อป้องกันสายเลือดอันบริสุทธิ์ของชาวยิวเอาไว้ไม่ให้แปดเปื้อน

ความเชื่อของศาสนาอิสลาม

แม้แต่อิสลามเองก็ไม่เว้น พวกเขามีข้อกำกัดในการแต่งงานกับคนที่ต่างความเชื่อ ต่างศาสนาเช่นเดียวกันหลังจากที่นบีมุฮัมมัดได้อพยพออกมาจากเมืองมักก๊ะฮุ ประชาชนที่อพยพมาส่วนใหญ่ต่างก็มีครอบครัว และมีความเชื้อความศรัทธาที่แตกต่างกัน ฝ่ายหนึ่งยังมีความเชื่อในการกราบไหวเทวรูป ในขณะที่อีกฝ่ายเชื่อในพระเจ้า และมองว่าการกราบไหว้รูปปั้นเป็นบาป เพื่อวางรากฐานที่สำคัญของชาวอิสลาม ที่จะไม่ให้ครอบครัวแตกแยกในอนาคต นบีมุฮัมมัดจึงได้ประกาศว่าครอบครัวของมุสลิม จะเป็นที่มีความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกัน ถ้าฝ่ายไหนยังคงกราบไหวเทวรูปอยู่และยังอยู่ร่วมกันจะถือว่าเป็นการผิดประเวณี

ศาสนาอิสลามมีเงื่อนไขเดียวที่จะสร้างครอบครัวได้ คือการศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวกัน ไม่ใช่ เชื้อสาย หรือ วรรณะ การทำแบบนี้ทำให้ประชากรของชาวมุสลิมเพิ่มขึ้นจำนวนมาก เพราะคนต่างชาติที่มีครอบครัวเป็นชาวมุสลิมจะต้องเปลี่ยนมานับถืออิสลามด้วย ทำให้บางครั้งหลายคนมองว่ามันเป็นการแพร่ขยายอำนาจทางศาสนาวิธีหนึ่งของชาวศาสนามุสลิม นอกจากนี้เงื่อนไขในการแต่งงานค่อนข้างอำนวยความสะดวกเลยก็ว่าได้ เพราะสินสอดที่ฝ่ายชายจะนำมามอบให้เรียกว่ามะฮัรุ อาจเป็นของมีค่าอะไรก็ได้แต่ไม่จำเป็นจะต้องมากมายมหาศาล ให้เป็นสิ่งของที่ฝ่ายชายสามารถหามาได้ตามสะดวก

ด้วยเหตุนี้เองทำให้การแต่งงานเป็นเรื่องที่ง่ายมากในศาสนาอิสลาม แต่ในสมัยก่อนสินสอดหรือมะฮัรุจะต้องเป็นของฝ่ายพ่อ ภายหลัง นบีมูฮัมมัได้ระบุเอาไว้ว่ามันเป็นสิทธิ์ของฝ่ายหญิงที่ควรได้ โดยตอนแรกสินสอดจะเป็นของฝ่ายหญิงครึ่งหนึ่ง จนกระทั่งย้ายมาอยู่ในครอบครัว สินสอดทั้งหมดจะตกไปของฝ่ายหญิงเพียงผู้เดียว หากเกิดรับมาแล้วไม่แต่งก็จะคืนสินสอดให้ฝ่ายชายไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

ในอดีต นบีมุฮัมมัด เคยขอหญิงสาวแต่งงานด้วยเงินมากถึง 500 เหรียญ ตอนนี้ท่านยังไม่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูตประกาศศาสนา ซึ่งท่านได้แต่งงานกับนางเคาะดีญะฮุ ผู้ที่มีฐานะร่ำรวยกว่า ถึงแม้ในตอนนั้น ท่านจะมีฐานะด้อยกว่าฝ่ายหญิงมาก แต่ท่านก็พยายามหาเงินมะฮัรุที่สมฐานะให้กับครอบครัวฝ่ายเจ้าสาวได้ ถือเป็นแบบอย่างที่ชาวอิสลามมองว่าเป็นเรื่องที่น่าเคารพเป็นอย่างมาก แม้ว่าท่านจะเคยประกาศเอาไว้ว่าเราไม่จำเป็นจะต้องหาเงินมะฮะรุที่เกินตัวก็ตาม